10 ตัวอย่างภาษาอังกฤษแบบผิดๆ
ที่ฮิตติดปากคนไทย
[SIZE=-1]ในปัจจุบันมีคำทับศัพท์ภาษาอังกฤษที่คนไทยใช้กันจนติดปากอยู่มากมาย
แต่คุณเคยรู้ไหมว่ามีบางคำที่ฝรั่งเค้าไม่ได้ใช้อย่างที่เราพูดกันติดปาก
ผมจึงเสนอคำศัพท์สัก 10 ตัวอย่างที่คนไทยมักใช้อย่างผิดๆพร้อมทั้งคำที่ถูกต้องซึ่งคุณควรนำไปใช้เวลาคุยกับฝรั่ง
เริ่มเลยแล้วกันครับ 1) อินเทรนด์
(in trend) คำนี้อินเทรนด์มากๆ เอ๊ย...ฮิตมากๆ
ในปัจจุบัน สามารถได้ยินตามรายการวิทยุหรือโทรทัศน์ทั่วไป
เพราะใช้กันทั่วบ้านทั่วเมือง เช่น เด็กสมัยนี้ถ้าจะให้อินเทรนด์ต้องตามแฟชั่นเกาหลี
ซึ่งบางทีเวลาคุณต้องการพูดว่า มันทันสมัย
คุณอาจจะติดปากว่า It is in trend. คำว่า
ทันสมัย ฝรั่งเค้าไม่ใช้คำว่า in trend
อย่างคนไทยหรอกครับ เค้าจะใช้คำว่า trendy
หรือ fashionable ซึ่งเป็นคำคุณศัพท์ที่คุณสามารถวางไว้หน้าคำนามที่ต้องการขยาย
เช่น a trendy haircut ทรงผมที่ทันสมัย, a
fashionable restaurant ร้านอาหารที่ทันสมัย
หรือจะไว้หลัง verb to be เช่น It is trendy.
หรือ It is fashionable. ก็ได้
2) เว่อร์ (over) เช่น ใยคนนั้นทำอะไรเว่อร์ๆ
She is over. ไม่มีความหมายแต่อย่างใดในภาษาอังกฤษ
ฝรั่งที่ได้ยินคุณพูดเช่นนี้ คงมึนตึบ พร้อมทำสีหน้างงว่ามันหมายถึงอะไรเหรอ?
พูดถึงคำนี้ คนไทยน่าจะหมายถึงการพูดเกินจริงหรือทำเกินจริง
ซึ่งถ้าพูดเกินจริง ควรจะใช้คำศัพท์ที่ว่า
exaggerate เป็นคำกิริยา อ่านว่า เอก-แซ้ก-เจ่อ-เรท
เช่น[/SIZE]
[SIZE=-1]"He said you walked 30 miles."
เค้าบอกว่าคุณเดินตั้ง 30 ไมล์ "No
- he's exaggerating. It was only about 15."
ไม่หรอก เค้าพูดเว่อร์ (เกินจริง) มันก็แค่
15 ไมล์เอง[/SIZE]
[SIZE=-1]ดังนั้น ถ้าจะบอกว่า เธอพูดเว่อร์น่ะ
ก็บอกว่า Youre exaggerating. หรือจะบอกเค้าว่า
อย่าพูดเว่อร์ๆ น่ะ อาจใช้ว่า Dont exaggerate.
ส่วนอาการเว่อร์อีกแบบคือการทำเกินจริง เราจะใช้คำกิริยาที่ว่า
overact เช่น Youre overacting. เธอทำเว่อร์เกิน
(แสดงอารมณ์เกินจริง) 3) ดูหนัง
soundtrack เวลาคุณจะบอกใครว่า ฉันต้องการดูหนังฝรั่งที่พากย์ภาษาอังกฤษ
อย่าพูดว่า I want to watch a soundtrack
film. แต่ควรจะใช้ว่า I want to watch an
English film. เพราะความหมายของคำว่า soundtrack
คือ ดนตรีที่อยู่ในภาพยนตร์ ต่างหากล่ะครับ
ถ้าเราจะพูดถึงหนังฝรั่งที่พากย์เสียงภาษาไทย
เราต้องบอกว่า I want to watch an English
film that is dubbed into Thai. เพราะคำกิริยาว่า
dub คือพากย์เสียงจากต้นแบบในหนังหรือรายการโทรทัศน์ไปเป็นภาษาอื่น[/SIZE]
[SIZE=-1]ส่วนหนังที่มีคำบรรยายใต้ภาพเราเรียกว่า
a subtitled film ซึ่งคำบรรยายที่อยู่ใต้ภาพ
เราเรียกว่า subtitles (ต้องมี s ต่อท้ายเสมอนะครับ)
เช่น a French film with English subtitles
หนังฝรั่งเศสที่มีคำบรรยายใต้ภาพเป็นภาษาอังกฤษ[/SIZE]
[SIZE=-1]หนังบางเรื่องจะมีคำบรรยายใต้ภาพเป็นภาษาเดียวกับที่นักแสดงพูด
เรามีศัพท์เรียกเฉพาะว่า closed-captioned
films/videos/television programs หรือ อาจเขียนย่อๆ
ว่า CC เช่น You should watch a closed-captioned
film to improve your English. คุณควรจะดูหนังฝรั่งที่มีคำบรรยายภาษาอังกฤษเพื่อพัฒนาภาษาอังกฤษของคุณ
4) นักศึกษาปี 1 คนไทยมักเรียกว่า
freshy ซึ่งฝรั่งไม่รู้เรื่องหรอกครับ
เพราะไม่มีการบัญญัติศัพท์คำนี้ในภาษาอังกฤษ
เค้าจะใช้คำว่า fresher หรือ freshman
เช่น He is a fresher. หรือ He is a freshman.
หรือ He is a first-year student. เขาเป็นนักศึกษาปี
1 ส่วนปีอื่นๆ คนไทยเรียกถูกแล้วครับ คือ
ปี 2 เราเรียก a sophomore, ปี 3 เรียกว่า
a junior และ ปี 4 เรียกว่า a senior
5) อัดหรือบันทึก คนไทยมักพูดทับศัพท์ว่า
เร็คคอร์ด (record) คำๆ นี้สามารถเป็นได้ทั้งคำนามและคำกิริยา
เพียงแค่เปลี่ยนตำแหน่ง stress กล่าวคือ ถ้าจะใช้เป็นคำนามที่แปลว่า
แผ่นเสียงหรือสถิติ ให้ขึ้นเสียงสูงที่พยางค์แรก
คือ เร็ค-คอร์ด เช่น He wants to buy a
record. เขาต้องการซื้อแผ่นเสียง, I broke
my own record. ฉันทำลายสถิติของฉันเอง แต่ถ้าคุณจะหมายถึงคำกิริยาที่แปลว่า
อัดหรือบันทึก ต้อง stress พยางค์หลัง ซึ่งจะอ่านว่า
รี-คอร์ด เช่น I'll record the film and
we can all watch it later. ฉันจะอัดหนัง
เราจะได้เก็บไว้ดูทีหลังได้ ส่วนเครื่องบันทึก
เราเรียกว่า recorder อ่านว่า รี-คอร์-เดอร์
6) ต่างคนต่างจ่าย เรามักใช้
American share รับรองว่าฝรั่ง(ต่อให้เป็นชาวอเมริกันด้วยครับ)
ได้ยินแล้ว งงแน่นอน ถ้าคุณจะหมายถึงต่างคนต่างจ่ายให้ใช้ว่า
Lets go Dutch. หรือ Go Dutch (with somebody).
อันนี้ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเป็นธรรมเนียมของชาวดัตช์หรือเปล่า?
ที่ต่างคนต่างจ่ายเลยมีสำนวนอย่างนี้ หรือคุณอาจจะบอกตรงๆ
เลยว่า You pay for yourself. คือเป็นอันรู้กันว่าต่างคนต่างจ่าย
แต่ถ้าคุณต้องการเป็นเจ้ามือ(ไม่ใช่เล่นไพ่นะครับ)เลี้ยงมื้อนี้เอง
คุณควรพูดว่า Its my treat this time.
หรือ My treat. หรือ Its on me. หรือ
All is on me. หรือ Ill pay for you this
time. ทั้งหมดแปลว่า มื้อนี้ฉันจ่ายเอง ส่วนถ้าจะบอกเพื่อนว่า
คราวหน้าแกค่อยเลี้ยงฉันคืน ให้บอกว่า Its
your treat next time. 7) ขอฉันแจม
(jam) ด้วยคน ในกรณีนี้คำว่า แจม น่าจะหมายถึง
ร่วมด้วย เช่น We are going to eat outside.
Do you want to jam? เรากำลังจะออกไปกินข้าวข้างนอก
เธอจะไปด้วยมั้ย? ในภาษาอังกฤษไม่ใช้คำว่า
jam ในกรณีแบบนี้ ซึ่งควรจะใช้ว่า Do you
want to join us?, Do you want to come
with us? หรือ Do you want to come along?
จะดีกว่าครับ เขามีแบ็ค (back) ดี He has a good back.
ฝรั่งคงงงว่ามันเกี่ยวอะไรกับข้างหลังของเค้า
เพราะ back แปลว่า หลัง (อวัยวะ) แต่คุณกำลังจะพูดถึงมีคนคอยสนับสนุน
ซึ่งต้องใช้ a backup ซึ่งหมายถึง คนหรือสิ่งของที่ช่วยสนับสนุน
ช่วยเหลือ เกื้อกูล เป็นกำลังใจให้ เช่น He
has a good backup. เขามีคนคอยหนุนที่ดี
9) ฉันเรียนภาษากับชาวต่างชาติ
I learn the language with a foreigner. คำว่า
foreigner หมายถึง ชาวต่างชาติโดยทั่วๆ
ไป แต่จริงๆ คุณต้องการจะสื่อว่าเรียนภาษากับเจ้าของภาษา
ซึ่งควรจะใช้คำว่า a native speaker จะเหมาะกว่านะครับ
เช่น I learn the language with a native
speaker. ฉันเรียนภาษากับเจ้าของภาษา ส่วนคนที่พูดได้
2 ภาษาดีเท่าๆ กันเราจะใช้คำคุณศัพท์ว่า bilingual
เช่น เด็กลูกครึ่งที่พูดได้ทั้งภาษาไทยและอังกฤษไงครับ
Their kids are bilingual. ลูกของเขาพูดได้
2 ภาษาดีพอๆ กัน 10) ฉันไปตัดผมมาเมื่อวานนี้
I cut my hair yesterday. ถ้าคุณพูดอย่างนี้หมายถึงคุณตัดผมด้วยตัวเองนะครับ
ซึ่งแน่นอนว่าคนส่วนใหญ่ไม่ได้ตัดผมด้วยตัวเอง
แต่ให้ช่างตัดผมตัดให้ คุณควรจะบอกว่า I
had/got my hair cut yesterday. ซึ่งรูปประโยคคือ
To have/get + กรรม (สิ่งที่ถูกกระทำ) +
กิริยาช่องสาม ดังนั้นถ้าคุณจะบอกว่า ฉันจะเอารถไปซ่อมวันพรุ่งนี้
ก็ต้องบอกว่า I will have/get the car repaired
tomorrow.
ดังนั้น ต่อไปเวลาคุณใช้ภาษาอังกฤษกับคำเหล่านี้
ควรจะใช้อย่างถูกต้อง ฝรั่งจะได้ไม่งงเวลาคุณพูดไงครับ
|